ยาคุมผู้ชาย ทดสอบในคนเฟสแรก ไร้ผลข้างเคียงรุนแรง ความหวังใหม่ในการคุมกำเนิดที่เท่าเทียม

ยาคุมผู้ชาย YCT-529 ผ่านการทดสอบในมนุษย์เฟสแรก ไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง ความหวังและความท้าทายการคุมกำเนิดที่เท่าเทียมระหว่างชาย-หญิง  

ยาคุมผู้ชายไร้ฮอร์โมน YCT-529 ผ่านการทดสอบในมนุษย์เฟสแรก เบื้องต้นปลอดภัย ไม่พบผลข้างเคียงรุนแรง โดยผลการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1 ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Communications Medicine เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม 2025 ที่ผ่านมา

ยานี้ได้รับการพัฒนาโดย YourChoice Therapeutics บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพสัญชาติสหรัฐฯ ร่วมกับมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และมหาวิทยาลัยมินเนโซตา มันทำงานโดยการเข้าไปยับยั้งการทำงานของโปรตีน Retinoic acid receptor-alpha (RAR-α) ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างอสุจิในอัณฑะ ส่งผลให้เป็นกระบวนการผลิตอสุจิหยุดชะงัก ซึ่งในทางทฤษฎียาที่ไม่ใช้ฮอร์โมนจะไม่กระทบกับการทำงานของฮอร์โมนเพศชายและไม่กระทบความต้องการทางเพศด้วย

ก่อนการทดลองในมนุษย์ ทางทีมวิจัยได้ทดลองกับหนูเพศผู้ และพบว่าได้ผล 99% ในการคุมกำเนิดภายใน 4 สัปดาห์ที่มีการให้ยา ขณะที่ในสัตว์ตระกูลไพรเมต (Primates) พบว่าจำนวนอสุจิลดลงภายใน 2 สัปดาห์ และเมื่อมีการหยุดใช้ยาพบว่าสัตว์ทดลองทั้งสองกลุ่มจะกลับมาผลิตอสุจิตามปกติใน 6-15 สัปดาห์ โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆ

สำหรับรวิจัยในมนุษย์เฟสแรกนี้ มุ่งทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการดูดซึมยา โดยทีมวิจัยได้ทำการทดลองในอาสาสมัครชาย 16 คน อายุ 32-59 ปีที่มีสุขภาพแข็งแรง  โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะได้รับยา YCT-529 ปริมาณเริ่มต้นที่ 10 มก.จากนั้นเพิ่มเป็น 30 มก.ในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา หรือได้รับยาหลอก (placebo) ทั้งสองครั้ง และกลุ่มที่ 2 ได้รับยาปริมาณเริ่มต้นที่ 90 มก.จากนั้นเพิ่มเป็น 180 มก.ในอีก 2 สัปดาห์ต่อมา หรือได้รับยาหลอกตลอดการทดลองเพื่อเปรียบเทียบ

โดยมีการติดตามผลเป็นเวลา 15 วัน เพื่อดูผลข้างเคียง ทั้งระดับฮอร์โมน การอักเสบของเซลล์ การทำงานของตับและไต การเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ รวมถึงอารมณ์และความต้องการทางเพศ

เบื้องต้นทีมวิจัยไม่พบว่าระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ไม่เกิดผลกระทบระยะยาวต่อการทำงานของตับและไต ไม่พบสัญญาณความเสียหายของเซลล์ ไม่พบอัตราการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ และทางอาสาสมัครยังเปิดเผยว่าไม่รู้สึกว่าอารมณ์หรือความต้องการทางเพศเปลี่ยนแปลงผิดปกติ

อย่างไรก็ดี นี่ยังไม่ใช่การทดลองที่ยืนยันว่ายาสามารถยับยั้งการผลิตอสุจิได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงๆ และไม่มีผลข้างเคียงในระยะยาว ซึ่งขณะนี้ทางทีมวิจัยกำลังทำการทดสอบในระยะที่ 2 ในกลุ่มตัวอย่างที่มากขึ้น เพื่อค้นหาปริมาณโดสที่เหมาะสม จากนั้นจึงจะเป็นการทดสอบในระยะที่ 3 ในกลุ่มตัวอย่างหลายร้อยคน เพื่อยืนยันถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่แน่ชัด จึงจะสามารถผลิตและวางขายต่อไปได้

 

ความหวังและความท้าทายในการคุมกำเนิดที่เท่าเทียม

การคุมกำเนิด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ การคุมกำเนิดชั่วคราว เช่น การกินยาคุม การใช้ถุงยางอนามัย และการคุมกำเนิดถาวร ซึ่งก็คือการทำหมัน

ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนแบบกินสำหรับผู้หญิง เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1960 จากนั้นวิธีการคุมกำเนิดก็ถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เกิดตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งยาคุมสูตรใหม่ๆ ยาคุมฉุกเฉิน การฝังยาคุมใต้ผิวหนัง วงแหวนคุมกำเนิด ห่วงอนามัย (IUD) เป็นต้น

แต่ผ่านมามากกว่า 60 ปี กลับไม่มีวิธีคุมกำเนิดใหม่ๆ สำหรับผู้ชาย ยังมีเพียง 2 วิธีหลัก คือถุงยางอนามัย ที่มีข้อจำกัดเรื่องประสิทธิภาพ ยังมีโอกาสทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ถึง 2-18% (เทียบกับยาคุมกำเนิดผู้หญิง 2-9%)

และการทำหมันชาย (vasectomy) ซึ่งเป็นการตัดหรือผูกท่อน้ำอสุจิจากอัณฑะไปยังกระเปาะพักเชื้ออสุจิด้านหลังต่อมลูกหมาก ทำให้น้ำอสุจิที่หลั่งออกมาไม่มีตัวอสุจิอยู่ ซึ่งวิธีนี้ได้ผลมากกว่า 99% แต่ก็ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เพราะเป็นการผ่าตัดที่มีผลกระทบถาวร

แม้ก่อนหน้านี้จะมีความพยายามจากหลายภาคส่วนในการคิดค้นยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชาย และบางโครงการก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผล แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้ไปต่อเนื่องจากมีผลข้างเคียง

ในความพยายามเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้สองวิธี วิธีแรกคือการฉีดสารเข้าไปในท่อน้ำอสุจิ เพื่อฆ่าสเปิร์มที่จะไปยังท่อปัสสาวะ เมื่อผู้ชายต้องการกลับมามีลูกก็ต้องผ่านการทำหัตถการเล็กๆ เพื่อล้างสารเหล่านี้ออกไป และวิธีที่สองคือการลดระดับฮอร์โมนลงเพื่อไม่ให้มีการผลิตอสุจิ

การทดลองที่ประสบความสำเร็จที่สุด คือการฉีดฮอร์โมนโปรเจสโตเจน (progestogen) ที่มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนของเพศหญิง ซึ่งจะส่งสัญญาณให้สมองหยุดผลิตฮอร์โมนที่ไปกระตุ้นให้อัณฑะผลิตอสุจิและฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน แต่วิธีทำให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนไม่เพียงพอตามไปด้วย ผู้ที่เข้าร่วมจึงต้องมีการเสริมฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนกลับเข้าไปในร่างกาย ทั้งแบบยาเม็ดหรือแบบเจลทาผิว สุดท้ายการทดลองใหญ่ต้องยุติลงก่อนกำหนดเนื่องจากผู้เข้าร่วมเจอผลข้างเคียง เช่น อารมณ์แปรปรวน สิวขึ้น ความต้องการทางเพศเปลี่ยนแปลงไป

เราจึงอาจกล่าวได้ว่าจากตัวเลือกที่หลากหลายมากกว่า ทำให้ “การคุมกำเนิด” ถูกคาดหวังให้เป็นหน้าที่ของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ขณะเดียวกันก็ยังมีปัจจัยเรื่องค่านิยมและความเข้าใจผิด ที่ผู้ชายบางส่วนมองว่าการกินยาคุมกำเนิดรวมไปถึงการทำหมันอาจ “ลดความเป็นชาย” กังวลผลกระทบที่อาจทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ผลักให้เรื่องนี้เป็นภาระที่ผู้หญิงต้องรับผิดชอบมากขึ้นไปอีก

อย่างในกรณีทำหมันถาวร พบว่าผู้หญิงมีอัตราการทำหมันสูงกว่าผู้ชายมาก ข้อมูลจากรายงานองค์การสหประชาชาติในปี 2019 พบว่าผู้หญิงทั่วโลกทำหมัน 219 ล้านคน ขณะที่ผู้ชายทำหมันเพียง 17 ล้านคน ในส่วนของประเทศไทย ข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดีอี สำรวจพบว่า ในปี 2022 ผู้หญิงไทยอายุ 15-49 ปีที่แต่งงานหรืออยู่กินกับผู้ชาย คุมกำเนิดด้วยวิธีกินยาคุม 31% ตามมาด้วยการทำหมันหญิง 24.3% และใช้วิธีทำหมันชายแค่ 0.2% เท่านั้น

ทั้งที่ในการผ่าตัดทำหมันนั้น การทำหมันชายเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงน้อยกว่า ใช้เวลาเพียง 10-30 นาที ใช้แค่ยาชาและฟื้นตัวในเวลาไม่กี่วัน ขณะที่การทำหมันหญิงมีความซับซ้อนกว่า มักต้องดมยาสลบ มีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือมีผลข้างเคียงทั้งในระยะสั้นและระยะยาวมากกว่า

อย่างไรก็ดี จากหลายๆ ผลสำรวจก็พบว่าผู้ชายจำนวนไม่น้อยพร้อมที่จะใช้ยาคุมกำเนิด หากมีการยืนยันแล้วว่าปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง หรือไม่ส่งผลต่อการเจริญพันธุ์ในระยะยาว

ผลการสำรวจที่ถูกนำเสนอในการประชุมระดับนานาชาติว่าด้วยนวัตกรรมด้านสุขภาพและการเจริญพันธุ์ (RHIS) ในบอสตัน สหรัฐฯ เมื่อปี 2023 สำรวจผู้ชายรวม 19,000 คน จาก 8 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐฯ ไนจีเรีย เคนยา ไอโวรีโคสต์ คองโก เวียดนาม บังกลาเทศ และอินเดีย พบว่าผู้ชาย 78-98% (แตกต่างกันในแต่ละประเทศ) ยินดีจะใช้ยาคุมกำเนิดผู้ชาย

หรือในปี 2022 ผลสำรวจโดย The Independent Pharmacy ที่สอบถามความเห็นจากผู้ชายในสหราชอาณาจักรจำนวน 2,201 คน พบว่า 52% ยินดีจะใช้ยาคุมกำเนิดผู้ชาย

อย่างไรก็ดี ยาคุมผู้ชาย YCT-529 ยังคงต้องได้รับการทดสอบอีกหลายขั้นตอนให้แน่ชัดว่าได้ผลในการคุมกำเนิดจริงๆ และไม่มีผลข้างเคียงร้ายแรง แม้หนทางจะอีกยาวไกล แต่นี่ถือเป็นอีกความหวังในการเพิ่มตัวเลือกในการคุมกำเนิดให้หลากหลายและเท่าเทียมมากขึ้น

“ยาคุมกำเนิดชายที่ปลอดภัยและได้ผล จะช่วยเพิ่มทางเลือกสำหรับคู่รักในการคุมกำเนิด แบ่งความรับผิดชอบในการวางแผนครอบครัวอย่างเท่าเทียม และยังช่วยให้ผู้ชายมีสิทธิเหนือร่างกายตัวเองในเรื่องของการสืบพันธุ์มากขึ้น” ดร.กุนดา จอร์จ ทีมวิจัยยา YCT-529 และอาจารย์ประจำวิทยาลัยเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมินเนโซตา กล่าว