กล่าวลาครั้งสุดท้าย ดี้ ปัทมา ร่ำไห้อาลัย เอ๋ ไพโรจน์ ผู้ให้โอกาสถึง2ครั้งในชีวิต ยังติดค้าง ครั้งแรกตั้งแต่ 9 ขว
เป็นอีกหนึ่งนักแสดงที่มีความผูกพันกับ ‘เอ๋ ไพโรจน์ สังวรบุตร’ สำหรับ ‘ดี้ ปัทมา ปานทอง‘ ที่วันนี้เดินทางมาร่วมรดน้ำศพและกล่าวลากันเป็นครั้งสุดท้าย
อ่านข่าว – เปิดประวัติ ไพโรจน์ สังวริบุตร อดีตพระเอกดัง เผยกำหนดการสวดอภิธรรม
อ่านข่าว – เผยนาที ไพโรจน์ สังวริบุตร อดีตพระเอกดัง ช็อกหมดสติ กู้ชีพเร่งปั๊มหัวใจ
วันที่ 4 มิถุนายน 2568 ที่ศาลา 7 วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร สถานที่บำเพ็ญกุศล รดน้ำศพ และสวดอภิธรรม เอ๋ ไพโรจน์ สังวริบุตร ที่เสียชีวิตกะทันหันด้วยอาการ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน
ดี้ ปัทมา ที่เดินทางมาร่วมแสดงความอาลัย ได้เปิดใจกับการสูญเสียบุคคลสำคัญในครั้งนี้
วันนี้มาร่วมแสดงความอาลัย ‘เอ๋ ไพโรจน์’?
“วันนี้พี่ได้มาบอกว่าได้มาส่งนะ รดน้ำทำความเคารพและขออโหสิกรรมในสิ่งที่ผ่านๆ มา อะไรที่กระทบกระทั่งกันก็มาขออโหสิกรรมครั้งสุดท้ายค่ะ
“จริงๆ ได้พูดว่าถ้าไม่มีพี่เอ๋ (เสียงสั่น) ก็ไม่มี ปัทมา ปานทอง ชื่อนี้จริงๆ ชื่อจริงของพี่คือ ปัทมาวดี แล้วตอนหนังใกล้ฉายพี่เอ๋ก็มาพูดว่า ปัทมาวดี ยาวไปนะ มันเชยมันเหมือนนางเอกลิเก ก็เลยตัด วดี ออก ก็รู้สึกสำนึกใจบุญคุณนี้ตลอด เคยบอกกับทุกๆ คนว่าถ้าไม่มีพี่เอ๋ให้โอกาสถึง 2 ครั้ง เมื่อตอน 9 ขวบ 1 ครั้ง และอีกครั้งพี่เอ๋ทำหนังใหญ่เอง ก็มาตามกลับไปเล่นเป็นนางเอก ไม่รู้ว่าจะเรียกบุญคุณนี้ว่าอะไร มันมาก โอเคช่วงกลางๆ ทางอาจจะไม่ได้เจอกันเพราะทุกคนมีชีวิตตัวเอง แต่พอชีวิตเราเริ่มผ่อนลง เริ่มมีเวลาให้คนรอบข้างมากขึ้น แต่พี่เอ๋กลับไม่รอพี่เอ๋หนีไปสบายก่อนแล้ว พี่เลยคิดว่ายังติดค้างส่วนนี้อยู่ พี่ถือว่าโชคดีที่ได้โอกาสถึง 2 ครั้ง”
“พี่เอ๋สอนทุกอย่างเลย ทั้งเรื่องการแสดง ให้พี่ภรพาไปลดความ พาไปซื้อเสื้อผ้า คือถ้าพ่อแม่ให้กำเนิดเรา พี่เอ๋พี่ภรก็เป็นคนให้กำเนิดเราอีกคน น้องเบสนี่พี่อุ้มมาตั่งแต่แบเบาะ เราคลุกคลีอยู่บ้านเขาตลอด ไปเรียนการแสดงอะไรต่ออะไร”
“พี่เอ๋ดังมากในหนัง 3 ภาค พี่เอ๋เอารถมาซ่อมแถวๆ ที่แม่พี่ขายของ แล้วมีคนตะโกน เอ๋ ไพโรจน์ มาๆ เราก็วิ่งไปดู พี่เอ๋ เดินผ่านหน้าร้าน แม่ก็พูดไปแบบไม่มีอะไร แม่พูดว่า “คุณไพโรจน์คะฝากลูกเล่นละครด้วยได้ไหมค่ะ” พี่เหมือนเด็กฝรั่งๆ ผมหยิกๆ พี่เอ๋ก็ถามเล่นได้หรือเรา ก็ตอบ “เล่นได้ค่ะ”
ก็คิดว่าทุกอย่างจะจบแล้ว ผ่านไปไม่นานไฟว์สตาร์ก็ส่งคนมาตามไปเทสต์หน้ากล้อง ก็ได้โอกาสเล่นหนังเรื่องแรก ผ่านไปอีก 5 ปี พี่เอ๋ก็มาตามไปเล่นหนังอีกเรื่องหนึ่ง”
มีโอกาสทราบไหมว่าเคยป่วย?
“ทราบว่าทำบายพาสมาแล้วครั้งหนึ่ง ก็คิดว่าดีแล้ว หลังๆ ก็ไม่ได้คุยกันเรื่องป่วย พี่จะมีความเคารพอยู่จะไม่ค่อยพูดเล่นเหมือนเพื่อนดารานะ จะคุยเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่า”
พอทราบข่าวว่าเสียชีวิตกะทันหัน?
“เหมือนพ่อตายจริงๆ พออ่านไลน์แล้วก็ยืนร้องไห้ คิดในใจว่าไม่จริงหรอกเดี๋ยวนี้ข่าวปลอมเยอะมาก ก็เลยโทรหาเบส เขาบอกจริง (น้ำตาไหล) มันเปลี่ยนอะไรไม่ได้ก็ต้องรับรู้ พี่เอ๋เหมือนเป็นตัวอย่างให้เรารับรู้ว่าคนแข็งแรงภายนอกก็ต้องดูแลภายในด้วย อย่าประมาท หัวใจสามารถเสียได้ทุกขณะจริงๆ”
รู้สึกว่ายังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณใช่ไหม?
“พี่เองในระหว่างทางที่พี่เอ๋ทำละครพี่ก็ได้ไปเล่น แต่พี่เป้าหมายจริงๆ ไว้ว่าปีนี้จะไปสวัสดีปีใหม่พี่เอ๋นะ แต่ก็จะไปไหว้พี่ภรแทนค่ะ (เสียดาย?) บอกตัวเองว่าจะไม่รออีกแล้ว อยากทำอะไรจะรีบทำค่ะ ไม่อย่างนั้นมันคาใจมากๆ เราสามารถขับรถไปได้แต่เราไม่มีความกล้า เราจะโทรถามว่าพี่เอ๋อยู่ไหนอยากเข้าไปสวัสดีปีใหม่แต่เราไม่กล้า พี่โตมากับพี่เอ๋ที่เงียบๆ ไม่ค่อยได้คุยเล่น เราจะกลัวและเกรง และเกร็งไปหมด มันเป็นความสนิทแบบเคารพรักมากกว่า”
สิ่งที่นึกถึงในมุมต้นแบบ?
“ต้นแบบของความพยายาม พี่เอ๋พยายามทุกอย่าง สิ่งที่ได้มาจากพี่เอ๋เลยคือโอกาส ถ้าพี่มีโอกาสจะให้ใคร มันเป็นสิ่งสำคัญจริงๆ นะ ต่อให้เก่งแค่ไหน”
ได้บอกอะไรเป็นครั้งสุดท้าย?
“บอกกับเบสว่าถ้ามีอะไรให้ช่วยบอกนะ พี่ยินดีทำเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ เราก็รู้สึกว่าเราได้อาชีพมา การให้อาชีพดีกว่าให้เงิน ถ้าพี่ทำประโยชน์อะไรได้ก็อยากช่วยค่ะ”